เดินถอยหลังบ้างก็ดี
ในวันที่ปัญหาถั่งโถมรุกเร้าเราให้จนมุม ใครเลยจะเชื่อว่าบางครั้งการถอยหลังสู้ก็สามารถเอาชนะอุปสรรคได้เหมือนกัน
โดย...พิเชษฐ์ ชูรักษ์
คนที่ถอนหายใจวันละหลายๆ ครั้ง ต่อปัญหาที่เจอะเจอในแต่ละวัน อาจโชคดีกว่าคนที่รู้ตัวว่าจะมีลมหายใจได้อีกไม่นาน---แต่ก็ไม่เสมอไป อาจมีข้อโต้แย้งว่า คนที่มีโอกาสได้ล่วงรู้วันเวลาที่จะหายใจอยู่บนโลกใบนี้ อาจกลายเป็นคนโชคดีกว่าคนที่ไม่รู้ว่าจะต้องถอนหายใจไปอีกนานเท่าไหร่...
หลายครั้งที่ต้องเผชิญปัญหา คนจำนวนมากเลือกเดินไปข้างหน้าเพื่อฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ เพราะเชื่อว่าการสู้กับปัญหาย่อมเจอทางออกเข้าสักวัน จะว่าไปก็ไม่ถูกทั้งหมดเสียทีเดียว เอาเข้าจริงในบางครั้ง เราอาจเลือก “เดินถอยหลัง” ดูบ้าง เพราะอาจเจอทางออกได้เช่นเดียวกัน
ในยามป่วยไข้ ท้อแท้ หรือผิดหวัง มักทำให้คนเรามีโอกาสได้ทบทวนตัวเอง ใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ในสภาพจิตใจที่เหนื่อยล้า เชื่อเถอะ---สติมักเดินเข้ามาหา จะหวังพึ่งพาหรือจะช่วยเป็นกำลังใจให้กันและกันก็ตามแต่
จิตใจที่มุ่งมั่น ฮึกเหิม มักพาให้คนเราเดินเร็วกว่าที่คิด สติจึงมักเดินตามไม่ทัน การเอาชนะสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสถานการณ์เช่นที่ว่า หลายครั้งจึงกลายเป็นความผิดพลาด หลายสถานการณ์บอกให้เราต้องตัดสินใจอย่างหนึ่ง แต่เชื่อหรือไม่ว่า หากย้อนกลับไปคิดทบทวนดีๆ หลายคำตอบที่พร้อมให้ความกระจ่างกับเราในขณะนั้น กลับถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย
แน่นอนว่า เอาเข้าจริง ไม่มีใครคิดหาคำตอบในการใช้ชีวิต ในแต่ละเรื่องราวได้ถูกต้องสมบูรณ์เสมอไป อยู่ที่สถานการณ์เฉพาะหน้าเป็นตัวกำหนด คิดถูกก็ประคับประคองตัวให้ก้าวเดินอย่างมั่นคงไปได้ในช่วงเวลาหนึ่ง คิดผิดก็มาเริ่มต้นกันใหม่
ในวันที่ปัญหาถั่งโถมรุกเร้าเราให้จนมุม การพิงเชือกสู้ แม้อาจยืดชีวิตต่อไปได้ แต่ใครเลยจะเชื่อว่าบางครั้งการถอยหลังสู้ก็สามารถเอาชนะอุปสรรคได้เหมือนกัน
ชายวัยกลางคนติดหล่มปัญหาอย่างไม่คาดคิด ด้วยความเชื่อมั่น เขาเลือกเดินหน้าชน เอาความจริงเข้าสู้
แต่แล้วถึงได้เรียนรู้ว่า...ความพ่ายแพ้เป็นอย่างไร
พันธะบางอย่างของชีวิตมันติดตัวเรามาโดยไม่รู้ตัว ในบ้านที่เราคิดว่าอบอุ่น อาจเพราะไม่รู้ว่าปัจจัยรายรอบเต็มไปด้วยความรุ่มร้อน
ชายวัยกลางคนนั่งครุ่นคิด...ตรึกตรอง ค้นหาคำตอบวันแล้ววันเล่า เพื่อหาทางขจัดความร้อนระอุของบ้าน เขาเดินขึ้นเดินลงวันละหลายรอบ ถึงได้พบความจริงว่า การมุ่งเดินไปข้างหน้าอย่างเดียว อาจไม่มีคำตอบ
เขาลองเดินถอยหลังจากด้านบนของบ้าน ที่เปื้อนไปด้วยฝุ่น ข้าวของรกรุงรัง เครื่องไม้เครื่องมือสำหรับการซ่อมแซมบ้านระเกะระกะ ไม่เป็นที่เป็นทาง...เดินถอยหลังออกจากบ้านวันแล้ววนเล่าจนเริ่มชิน บ้านที่รก เต็มไปด้วยสิ่งขวางหูขวางตา ค่อยๆ หายไป ก้อนกรวดที่ระคายอยู่ในใจ เริ่มเจือจาง
...เขาเริ่มเข้าใจว่า...ปฏิกูลเบียดแย่งความอบอุ่นของบ้าน---อยู่ในใจตัวเอง
การเดินถอยหลังออกจากบ้านทำให้ชายวัยกลางคนมีสติ เหลียวซ้ายแลขวา อย่างระมัดระวังทุกครั้ง การก้าวย่างอย่างมีสติทำให้เห็นตัวบ้านมากกว่าบ้าน ความขุ่นเคืองที่เป็นพันธะติดอยู่ ค่อยๆ ผ่อนเบาลง ความร้อนที่คุกรุ่นอยู่ในใจค่อยๆ คลายตัว
ท้ายที่สุด...บ้านกลายร่างเป็นแค่เพียงวัตถุ ไม่จีรังยั่งยืน มีผุ มีเสื่อมสลาย ตามกาลเวลา
...สติและจิตใจต่างหาก เราไม่อาจปล่อยมันให้ผุกร่อน ร่วงโรย เสมือนเช่นวัตถุ---เขาคิด
*************************
“กฤช” โต้เถียงกับแม่ด้วยท่าทีสุภาพทุกครั้ง เพราะเชื่อว่าไม่มีใคร “รัก” เขา เท่าแม่ได้อีกแล้ว แต่ด้วยความรักในความหมายของแม่ ทำให้ข้อโต้เถียงระหว่างแม่ ลูก กลายเป็นความกังวลใจที่กลายเป็นตะกอนสะสมในตัวเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
กฤชตัดสินใจลาออกจากคณะวิศวะ มหาวิทยาลัย ชื่อดังแห่งหนึ่ง เพื่อแสดงการขัดขืนต่อสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เลือกและไม่ได้ชอบมาตั้งแต่ต้น
เขายื่นคำขาดกับแม่---ขอเลือกทำตามความฝันตัวเอง
กฤชสอบชิงทุนเข้าคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง พร้อมประกาศข้อแม้กับแม่---ไม่ต้องส่งเงินให้เขาอีก กฤชเลือกหาเงินเรียนเอง แม้ครอบครัวทางบ้านจะพร้อมไปทุกอย่าง ภาระค่าเช่าบ้านไม่ต้องมี เพราะแม่ซื้อคอนโดฯ ไว้ให้กลางเมือง ค่าเทอมฟรี จึงเหลือแค่ค่ากินอยู่ที่ต้องหาแลกกับความฝันในช่วง 4 ปี
ในวันใกล้สำเร็จการศึกษา กฤชถามแม่ด้วยคำถามเดิม “ผมขอเป็นนักข่าวนะแม่”
คำตอบที่ได้ก็เป็นคำตอบเดิมที่เขาเคยได้ยิน เหมือนเช่นหลายปีก่อน “ลูกต้องเป็นนักธุรกิจ ต้องดูแลกิจการที่บ้าน” ...“อาชีพนักข่าวที่ลูกอยากเป็น มันเลี้ยงตัวเองไม่ได้หรอก”
กฤชยังมุ่งมั่นทะยานตามหาฝัน ด้วยการแอบไปฝึกงานเงียบๆ หวังเดินหน้าเข้าสู่วิชาชีพที่อยากจะเป็น---เขาพิสูจน์ตัวเองได้ในช่วงเวลาสั้นๆ วันนั้นกฤชยิ้มกว้าง ด้วยท่าทีสุขใจ แววตาเป็นประกาย ...เมื่อถูกชักชวนให้มาทำงานข่าวในสถานที่ที่เขาเลือกฝึกงานด้วย
“ผมคงต้องกลับไปถามแม่อีกครั้งครับพี่ ผมจะพยายามครับ” --- “แต่...ผมเป็น‘สิ่ง’ที่แม่รักมากครับ”
*************************
“กาน” เลือกนอนอยู่หน้าห้องเช่าจนถึงรุ่งเช้า เพื่อรอให้แม่บ้านมาไขกุญแจที่เขาลืมไว้เมื่อช่วงหัวค่ำ ...กานขยันขันแข็งไม่ว่าพี่มอบหมายให้ไปทำข่าวที่ไหน ด้วยเพราะตั้งใจมาฝึกงานตามที่ได้ร่ำเรียนมา และจะต้องมีคะแนนฝึกงานกลับบ้านไปยื่นให้มหาวิทยาลัยเพื่อขอจบในปีนั้น
ในวันจากลา นักศึกษานิเทศศาสตร์ ที่เดินทางไกลมาจากเชียงราย เล่าถึงสิ่งที่ได้ในช่วง 4 เดือน ด้วยใบหน้าใสซื่อ “ผมได้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงกรุงเทพฯ แล้วครับพี่” กานแบกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เรียกแท็กซี่จากหมอชิตมาถึงคลองเตยด้วยสนนราคา 600 บาท --- “ผมได้เห็นการทำงานของพวกพี่ในกอง บก. แค่นี้ก็คุ้มแล้วครับ...เรียนมาผมไม่รู้อะไรเลย” ---“พี่รู้รึเปล่า...ที่สั่งให้ผมไปทำข่าว ผมออกตั้งแต่ตี 5 ผมนั่งรถเมล์ไม่เป็น ผมไม่รู้จักกรุงเทพฯ เลยสักแห่ง ผมลองผิดลองถูกไปเรื่อยจนถึง”---“วันนั้นผมไม่อยากโทรหาเพื่อนก็เลยนอนมันหน้าห้องจนเช้า”....
...“ผมจะกลับไปทำธุรกิจที่บ้านครับพี่” เป็นจุดมุ่งหมายจากปากกานก่อนจากลา